การมีผิวขาวใสดูสุขภาพดีแบบสาวญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่ใครหลายๆ คนปรารถนา จริงอยู่ที่ว่า กรรมพันธุ์ และสภาพแวดล้อม อาจเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้พื้นฐานสีผิวของคนแต่ประเทศแตกต่างกันไป แต่แท้จริงแล้วลักษณะการบริโภค หรือไลฟ์สไตล์ในการชีวิตก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นมีผิวพรรณที่ขาวใสสุขภาพดีนั้น คือการที่คนญี่ปุ่นนิยมบริโภคมะเขือเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าในมะเขือเทศนั้นมีสารไลโคปีนที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้มาทำลายเซลล์และคอลลาเจนในผิว ลดริ้วรอย ความเหี่ยวย่น และความหมองคล้ำนั่นเอง
สำหรับในประเทศไทยนั้น ในปีที่ผ่านมา เริ่มมีการพูดถึงการทานมะเขือเทศเพื่อเพิ่มปริมาณสารไลโคปีนในร่างกายที่นอกจากจะช่วยผิวพรรณดูดีแล้ว ยังสามารถต้านทานโรคร้ายอีกมากมาย แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดความไม่มั่นใจในการบริโภคว่าปริมาณเท่าไรที่ร่างกายต้องการ บริโภคอย่างไร มีผลข้างเคียงหรือไม่ หรือจะช่วยเรื่องผิวพรรณได้จริงแค่ไหน
ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ดร.โคอิจิ ไอซาวา (Dr. Koishi Aizawa) ผู้จัดการส่วนงานวิจัยและพัฒนา จากสถาบันวิจัยคาโกเมะ ประเทศญี่ปุ่น ได้เล่าถึงความนิยมในการบริโภคมะเขือเทศของชาวญี่ปุ่น ในระหว่างการเข้าร่วมสัมมนา ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ ว่า “เทรนด์การใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นในปัจจุบันเป็นแบบ “Healthy Life” กล่าวคือ พยายามหลีกเลี่ยงวิถีการใช้ชีวิตหรือการบริโภคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคร้าย คำนึงถึงการดูแลรักษาความงาม ทั้งด้านผิวพรรณ และโรคอ้วน การชะลอวัย มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และอายุยืน โดยใช้วิถีทางที่แตกต่างกันตามไลฟ์สไตล์ ทั้งด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค การออกกำลังกาย และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ
การเลือกรับประทานมะเขือเทศ เป็นวิธีการหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนิยมทำเพื่อรักษาสุขภาพ เพราะโดยพื้นฐานคนญี่ปุ่นจะชอบทานมะเขือเทศกันอยู่แล้ว เนื่องจากมะเขือเทศพันธุ์ญี่ปุ่นนั้นมีรสชาติหวานอร่อย ทั้งแบบทานแบบสดๆ หรือนำมาประกอบเป็นอาหาร เมนูยอดฮิตอย่างสลัดมะเขือเทศ หรือทานในแบบที่แปรรูปแล้วเป็น น้ำมะเขือเทศ คุ๊กกี้ เยลลี่รสมะเขือเทศ เป็นต้น ซึ่งในญี่ปุ่นมีการนำเอามะเขือเทศมาผลิตเป็นอาหารและเครื่องดื่มนับร้อยรายการ และเมื่อคนญี่ปุ่นเริ่มมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของสารไลโคปีนที่มีอยู่ในมะเขือเทศถึงการดูแลรักษาผิวพรรณ และการกำราบสารพัดโรคร้าย อัตราการบริโภคจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2010 มีอัตราเฉลี่ยการบริโภคอยู่ที่ 7.5 ลิตรต่อคน/ ปี วิธีการสำคัญในการให้ความรู้ถึงคุณประโยชน์ของมะเขือเทศ คือการเผยแพร่ผลงานวิจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น และนักวิจัยทั่วโลก อาทิ ได้ทดลองให้ชายและหญิงจำนวน 36 คน ที่มีอายุระหว่าง 20ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 50ปี โดย แบ่งผู้เข้ารับการทดสอบออกเป็น 2 กลุ่มและให้บริโภคน้ำมะเขือเทศ 160 ก. (มีไลโคปีน 16 มก.) ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้บริโภคน้ำแร่ 160 มล. ติดต่อกันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ทุกวัน พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนริ้วรอยใต้ดวงตาจากภาพถ่ายใบหน้าที่ถ่ายไว้ก่อนทำการทดลอง โดยกลุ่มที่ดื่มน้ำมะเขือเทศมีจำนวนริ้วรอยลดน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มดื่มน้ำแร่ หลังจากสัปดาห์ที่ 8 นับจากวันที่เริ่มทดลองดื่ม จึงเป็นการค้นพบว่าหากบริโภคไลโคปีนอย่างต่อเนื่องแล้ว จะมีความเป็นไปได้สูงที่ไลโคปีนเหล่านั้นจะช่วยนำไปสู่การบำรุงและฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้น
นอกจากจะมีผลการวิจัยที่บ่งชัดว่า ว่าไลโคปีนในมะเขือเทศ ช่วยทำให้ผิวขาวด้วยการป้องการการก่อตัวของเมลานิน ช่วยลดการเกิดริ้วรอยด้วยการป้องกันการทำลายคอลเลเจนในผิวที่ได้รับรังสี UV แล้ว นี้ยังมีงานวิจัยและทดสอบอื่นๆ อีกมากมาย ที่บ่งบอกว่าสารไลโคปีนในมะเขือเทศนั้นมีประโยชน์กับทุกเพศทุกวัย เช่น การให้คุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำมะเขือเทศพบว่าทารกที่คลอดออกมานั้นก็มีสุขภาพที่แข็งแรงด้วยเช่นกัน เสริมภูมิต้านทานในวัยเด็ก และผู้ใหญ่ ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น แล้วลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ มะเร็ง (เต้านม ปากมดลูก ต่อมลูกหมาก ผิวหนัง ปอด ลำไส้ใหญ่ และอื่นๆ) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคจอประสาทตาเสื่อม ภาวะการมีบุตรยาก การโดนทำร้ายจากรังสียูวี โรคหืด โรคกระดูกพรุน เป็นต้น เคล็ดลับสำคัญของการทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์จากไลโคปีนสูงสุดนั้น ดร.ไอซาวา บอกว่า ต้องบริโภคแบบน้ำ หรือแปรรูป เช่น น้ำมะเขือเทศ หรือซอสมะเขือเทศ เป็นต้น จะทำให้ได้รับไลโคปีนได้มากกว่าถึง 2-3เท่าตัว เนื่องจากร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่า เคล็ดไม่ลับคือ การนำไปประกอบอาหารควบคู่กับน้ำมันมะกอกจะได้รับไลโคปีนเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเนื่องจากไลโคปีนเป็นสารชนิดละลายในไขมันได้ดี และไลโคปีนทนต่อความร้อนจึงไม่ต้องกังวลว่าสารไลโคปีนจะลดลงเมื่อผ่านการผัดการต้ม โดยปริมาณไลโคปีนที่ควรได้รับในแต่ละวันนั้นแค่ 30มิลลิกรัม ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงของการบริโภคที่มากเกินไปอีกด้วย และยังสามารถ ดื่มได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดช่วงเวลาในการดื่ม ดื่มเวลาไหนก็ได้ผลดีเช่นกัน
ทั้งหมดจึงเป็นการคอนเฟิร์มจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญว่ามะเขือเทศคือผลไม้มหัศจรรย์อย่างแท้จริง สาวไทยผู้รักสุขภาพคงจะหันมาดื่มน้ำมะเขือเทศกันได้โดยไม่มีข้อกังขาอีกแล้ว ถามว่าคนญี่ปุ่นฮิตดื่มน้ำมะเขือเทศกันขนาดไหน ให้ดูจากตัวเลขตลาดมะเขือเทศในญี่ปุ่นมีมูลค่าถึง 150ล้านเยน/ปี ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 7ล้านเยนต่อปีเท่านั้น สำหรับสาวๆ ที่จะหันมาเริ่มดื่มน้ำมะเขือเทศ มีเมนูง่ายๆ ที่จะแนะนำเพื่อให้ได้รับไลโคปีนอย่างเต็มที่ และมีผิวสวยใสสุขภาพดีไม่แพ้สาวญี่ปุ่น คือการรับประทานน้ำมะเขือเทศควบคู่กับนมสดมื้อเช้า ซึ่งไขมันของนมสดจะทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น และยังช่วยเสริมแคลเซียมที่ขาดไปอย่างเหมาะสม หรืออาจรับประทานซีเรียลที่ราดนมสดควบคู่กับน้ำมะเขือเทศก็จะเหมาะกับเวลาที่เร่งด่วนในยามเช้าเป็นอย่างดี เท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของผิวสวยสุขภาพดีแบบยั่งยืน